Lucky Charms Rainbow Welcome to blogger of Siriporn kaminkaeo

วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561

Record 3
Monday  29 January 2018

เนื้อหาการเรียนการสอน (Knowledge)
             หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ปี 2560 มีข้อมูลสภาพที่พึงประสงค์ 12 มาตรฐาน(เกณฑ์ขั้นต่ำที่เด็กต้องผ่า) 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย อารมณ์และจิตใจ สังคม และสติปัญญา มีตัวบ่งชี้ที่เป็นเป้าหมายในการพัฒนาเด็ก 
             พัฒนาการตามวัยของเด็ก มีรากฐานมาจากทำงานของสมองตามทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ เกิดการเรียนรู้มีปฎิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือเกิดจากถ่ายทอดทางสังคม โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เพื่อให้เกิดการรับรู้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะเกิดการเรียนรู้
             รูปแบบการเรียนรู้นวัตกรรมแบบโครงการ เป็นการที่เด็กไดศึกษาในสิ่งที่ตนเองสนใจอย่างลุ่มลึก เด็กได้มีส่วนร่วม และยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง เด็กได้มีกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ มีการใช้ภาษาธรรมชาติ จากการอ่าน การเขียน การฟัง การพูด  และมีทักษะความรับผิดชอบในการแสดงผลงาน
กิจกรรมการเรียนรู้ 
         กิจกรรมงานกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ทำ Mind mapping ในหน่วยที่ครูกำหนดให้ ได้แก่ หน่วยตัวเรา หน่วยผีเสื้อ หน่วยผลไม้ หน่วยต้นไม้ หน่วยบ้าน หน่วยอาหารดีมีประโยชน์

กลุ่มที่ 1 หน่วยผีเสื้อ
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ : เพิ่มการดำรงชีวิต (การขยายพันธุ์ และการเจริญเติบโต ) 
เพิ่มประโยชน์ (ในตัวเอง และ ในเชิงพาณิชย์)

กลุ่มที่ 2 หน่วย ผลไม้เพื่อสุขภาพ
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ : เปลี่ยนจากหัวข้อการดูแลรักษาเป็นหัวข้อปัจจัยการเจริญเติบโต (น้ำ อากาศ แสงแดด)
เพิ่มประโยชน์ (ในตัวเอง เช่น มีวิตามิน และประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เช่น สร้างอาชีพ)
กลุ่มที่ 3 หน่วยใต้ร่มเงาไม้
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ : เพิ่มลักษณะ (ส่วนประกอบ ได้แก่ ต้น ใบ กิ่ง ดอก ผล ราก)
เปลี่ยนหัวข้อการดูแลรักษา เป็น ปัจจัยการดำรงชีวิต (น้ำ อากาศ แสงแดด)
เพิ่มประโยชน์ (ต่อตนเอง ได้แก่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ ในเชิงพาณิชย์ สร้างอาชีพ ต่อโลก สร้างสมดุลให้กับโลก)
เพิ่มข้อควรระวัง (น้ำท่วม โลกร้อน สัตว์ไม่มีที่อยู่อาศัย)

กลุ่มที่ 4 หน่วยตัวฉัน
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ : เพศ (เพศชาย เพศหญิง)
อวัยวะ (อวัยวะภายใน และอวัยวะภายนอก)
การดำรงชีวิต (กินอาหาร นอนหลับ)
การดูแลรักษาตัวฉัน (อาบน้ำ ตัดเล็บ สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด)
ข้อควรระวัง (การเป็นพาหะของโรค)

กลุ่มที่ 5 หน่วยบ้านแสนรัก
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ : แยกประเภทให้ชัดเจน (บ้านที่อยู่บนบก บ้านที่อยู่ในน้ำ บ้านที่อยู่บนต้นไม้)

กลุ่มที่ 6 หน่วยอาหารดีมีคุณค่า

ทักษะ (Skills)
- ทักษะการฟัง
- ทักษะการคิด
- ทักษะการเชื่อมโยง
- ทักษะการทำงานกลุ่ม
- ทักษะการสืบค้นข้อมูล

เทคนิคการสอน (Technique teaching)
- บรรยาย
- ตั้งคำถาม
- ให้นักศึกษาทำกิจกรรม

การนำไปประยุกต์ใช้ (Adoption)
- สามารถนำความรู้ที่ได้รับเพิ่มเติมไปจัดการเรียนการสอน คิดกิจกรรมหน่วยแต่ละสัปดาห์ สามารถมีข้อมูลเพื่อนำไปเขียนเป็นแผนการสอนในวันจันทร์ - ศุกร์ได้

ประเมินผล (Assessment)
ประเมินตนเอง - เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจฟังอาจารย์ รับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง
ประเมินเพื่อน -  เพื่อนทุกคนตั้งใจเรียน ให้ความร่วมมือในการทำงานช่วยกันแสดงความคิดเห็น
ประเมินอาจารย์ - อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย มีการทบทวนความรู้และมีคำแนะนำเพิ่มเติม

วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561

Record 2
Monday 22 January 2018

เนื้อหาการเรียนการสอน (Knowledge)

กลุ่มที่ 1 พัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย

เด็กอายุ 3 ปี
พัฒนาการด้านร่างกาย
  • กระโดดขึ้นลงอยู่กับที่ได้
  • รับลูกบอลด้วยมือและลำตัว
  • เดินขึ้นบันไดสลับเท้าได้
  • เขียนรูปวงกลมตามแบบได้
  • ใช้กรรไกรมือเดียวได้
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
  • แสดงอารมณ์ตามความรู้สึก
  • ชอบจะทำให้ผู้ใหญ่พอใจและรับคำชม
  • กลัวการพลัดพรากจากผู้เลี้ยงดูใกล้ชิดน้อยลง
พัฒนาการด้านสังคม
  • รับประทานอาหารได้ด้วยตนเอง
  • ชอบเล่นเเบบคู่ขนาน
  • เล่นสมมติได้
  • รู้จักการรอคอย
พัฒนาการด้านสติปัญญา
  • สำรวจสิ่งต่างๆที่เหมือนกันและต่างกันได้
  • บอกชื่อของตนเองได้
  • ขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา
  • สนทนาโต้ตอบเล่าเรื่องประโยคสั้นๆได้
  • สนใจนิทานและเรื่องราวต่างๆ
  • ร้องเพลง ท่องคำกลอน คำคล้องจองง่ายๆและแสดงเลียนเเบบท่าทางได้
  • รู้จักใช้คำถาม อะไร
  • สร้างผลงานตามความคิดของตนเองอย่างง่ายๆได้
  • อยากรู้อยากเห็นทุกอย่างรอบตัว
เด็กอายุ 4 ปี
พัฒนาการด้านร่างกาย 
  • กระโดดขาเดียวอยู่กับที่ได้
  • รับลูกบอลได้ด้วยมือทั้งสองข้าง
  • เดินขึ้นลงบันไดสลับเท้าได้
  • เขียนรูปสี่เหลี่ยมตามแบบได้
  • ตัดกระดาษตามแนวเส้นตรงได้
  • กระฉับกระเฉงไม่อยู่เฉย
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
  • แสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมบางสถานการณ์
  • เริ่มรู้จักชื่นชมความสามารถเเละผลงานตนเองและของผู้อื่น
  • ชอบท้าทายผู้ใหญ่
  • ต้องการให้มีคนฟังคนสนใจ
พัฒนาการด้านสังคม
  • เล่นร่วมกับคนอื่นได้
  • รอคอยตามลำดับก่อนหลัง
  • แบ่งของให้คนอื่น
  • เก็บของเล่นเข้าที่ได้
พัฒนาการด้านสติปัญญา
  • จำแนกสิ่งต่างๆด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้
  • บอกชื่อและนามสกุลของตนเองได้
  • พยายามแก้ไขด้วยตนเองหลังจากได้รับคำชี้แนะ
  • สนทนาโต้ตอบเล่าเรื่องเป็นประโยคต่อเนื่องได้
  • สร้างผลงานตามความคิดของตนเองโดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น
  • รู้จักใช้คำถามว่าทำไม
เด็กอายุ 5 ปี
พัฒนาการด้านร่างกาย
  •  กระโดดขาเดียวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องได้
  • รับลูกบอลที่กระดอนขึ้นจากพื้นได้ด้วยมือทั้งสอง
  • เดินขึ้นลงบันไดสลับเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว
  • เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้
  • ตัดกระดาษตามแนวเส้นโค้งที่กำหนด
  • ใช้กล้ามเนื้อเล็กได้ดี
  • ยืดตัว คล่องเเคล่ว
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
  • แสดงอารมณ์ได้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้เหมาะสม
  • ชื่นชมความสามารถเเละผลงานตนเองและของผู้อื่น
  • ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางน้อยลง
พัฒนาการด้านสังคม
  • ปฎิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง
  • เล่นและทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกับผู้อื่นได้
  • พบผู้ใหญ่รู้จักไหว้ ทำความเคารพ
  • รู้จักขอบคุณเมื่อรับของจากผู้ใหญ่
  • รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
พัฒนาการด้านสติปัญญา
  • บอกความแตกต่างของกลิ่น สี เสียง รส รูปร่าง จำแนกและจัดหมวดหมู่สิ่งของได้สิ่งต่างๆด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้
  • บอกชื่อและนามสกุลและอายุของตนเองได้
  • พยายามหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง
  • โต้ตอบเล่าเป็นเรื่องเป็นราวได้
  • สร้างผลงานตามความคิดของตนเองโดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นและแปลกใหม่
  • รู้จักใช้คำถามว่าทำไม อย่างไร
  • เริ่มเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม
             คุณลักษณะตามวัยเป็นความสามารถตามวัยหรือพัฒนาการตามธรรมชาติเมื่อเด็กมีอายุถึงวัยนั้นๆผู้สอนจำเป็นต้องทำความเข้าใจคุณลักษณะตามวัยของเด็กอายุ 3ปีเพื่อนำไปพิจารณาจัดประสบการณ์ให้เด็กแต่ละวัยได้อย่างถูกต้องเหมาะสมขณะเดียวกันจะต้องสังเกตเด็กแต่ละคนซึ่งมีความแตกต่างระหว่างบุคคลเพื่อนำข้อมูลไปช่วยในการพัฒนาเด็กให้เต็มตามความสามารถและศักยภาพ พัฒนาการเด็กในแต่ละช่วงอายุอาจเร็วหรือช้ากว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้และการพัฒนาจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ถ้าสังเกตพบว่าเด็กไม่มีความก้าวหน้าอย่างชัดเจนต้องพาเด็กไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ เพื่อช่วยเหลือและแก้ไขได้ทันท่วงที 
ทฤษฎีพัฒนาการ
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์
       เพียเจท์  กล่าวถึง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม เพียเจท์ได้มองการเล่นเป็นกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา ซึ่งกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา และลักษณะของการเล่นนั้น จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน  เพียเจท์ได้แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น  4  ขั้น
1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิดในขั้นนี้ มีความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อยๆ เป็นการเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมายและสามารถแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิดของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น
2, ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ
     -- ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง 2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกันหมด แสดงว่าความคิดรวบยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก 
     -- ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักนำความรู้ในสิ่งหนึ่งไปอธิบายหรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถนำเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา โดยไม่วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเสียก่อนการคิดหาเหตุผลของเด็กยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนรับรู้ หรือสัมผัสจากภายนอก
*เป็นการตอบคำถามโดยใช้เหตุผล ถ้ายังตอบด้วยตาเห็นแสดงว่าเด็กยังไม่เข้าขั้นอนุรักษ์
3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมได้ สามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความคงตัวของสิ่งต่างๆ โดยที่เด็กเข้าใจว่าของแข็งหรือของเหลวจำนวนหนึ่งแม้ว่าจะเปลี่ยนรูปร่างไปก็ยังมีน้ำหนัก หรือปริมาตรเท่าเดิม สามารถที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ของส่วนย่อย ส่วนรวม ลักษณะเด่นของเด็กวัยนี้คือ ความสามารถในการคิดย้อนกลับ นอกจากนั้นความสามารถในการจำของเด็กในช่วงนี้มีประสิทธิภาพขึ้น สามารถจัดกลุ่มหรือจัดการได้อย่างสมบูรณ์ สามารถสนทนากับบุคคลอื่นและเข้าใจความคิดของผู้อื่นได้ดี
4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) นี้จะเริ่มจากอายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง เด็กจะสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่ สามารถที่จะคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะตั้งสมมุติฐานและทฤษฎี และเห็นว่าความเป็นจริงที่เห็นด้วยการรับรู้ที่สำคัญเท่ากับความคิดกับสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ เด็กวัยนี้มีความคิดนอกเหนือไปกว่าสิ่งปัจจุบัน สนใจที่จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างและมีความพอใจที่จะคิดพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน หรือสิ่งที่เป็นนามธรรมพัฒนาการทางการรู้คิดของเด็กในช่วงอายุ 6 ปีแรกของชีวิต 
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์
          เชื่อว่า ครูสามารถจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนได้ โดยต้องคำนึงถึงทฤษฎีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้และการสอน กล่าวคือพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาความรู้และวิธีการสอน   หรือกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการและความสามารถของเด็กเป็นหลัก จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้นตอน
  1. ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive Stage) คือ ขั้นของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ดี การเรียนรู้เกิดจากการกระทำ
  2. ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้ และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงได้
  3. ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้
           จากการวิเคราะห์หลักสูตรปี 2546 และหลักสูตรปฐมวัยปี 2560 มีความแตกต่างกัน คือปี 2546 จะมีข้อมูลพัฒนาการตามวัยของเด็ก แต่หลักสูตรปี 2560 ที่ใช้ในปัจจุบัน  จะมีข้อมูลสภาพที่พึงประสงค์ของพัฒนาการเด็กทั้ง 4 ด้าน

กลุ่มที่ 2 ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
               
         เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์  การสร้างรากฐานที่ดีทั้งทางร่างกาย และจิตใจให้กับเด็กในวันนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะช่วงอายุแรกเกิด ถึง6 ปีเป็นระยะที่มีความสำคัญช่วงหนึ่งในการวางรากฐานคุณภาพชีวิตของเด็ก ด้วยเหตุที่เด็กปฐมวัยมีธรรมชาติและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากบุคคลวัยอื่นๆ
ความต้องการ
         ความต้องการเป็นสิ่งจาเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ความต้องการเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดความสมดุล  ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทาให้ร่างกายเกิดความเครียด ไม่เป็นสุข ดังนั้นร่างกายจึงต้องมีการกระทำเกิดขึ้นเพื่อให้ร่างกายกลับสู่สภาวะสมดุลตามปกติ
ชนิดของความต้องการ
1.ความต้องการของแต่ละคน (Individual Needs )
- ความต้องการทางอินทรีย์
- ความต้องการที่จะสร้างบุคลิกภาพ
2 ความต้องการที่จะสร้างบุคลิกภาพ
- ความต้องการที่จะรักคนอื่นและให้คนอื่นรักตน
- ความต้องการความปลอดภัย
- ความต้องการการมีส่วนร่วม หรือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
- ความต้องการความสัมฤทธิ์ผลหรือต้องการให้บรรลุจุดมุ่งหมายของตน
- ความต้องการรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาสติปัญญา
- ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงจากสภาพที่อยู่ปกติให้เป็นสภาพใหม่
- ความต้องการที่จะรับความพึงพอใจในทางสวยงาม
ความต้องการทางสังคม (Social Need)
         ได้แก่ ความต้องการความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ การนับหน้าถือตา ความนิยมชมชื่น ความเป็นมิตรภาพต่อกัน และความต้องการในสมบูรณาการ (Integration) ซึ่งเป็นความต้องการ  ที่เป็นความสุขของชีวิตตามอุดมคติ
  • ความต้องการของเด็กปฐมวัย
  • ความต้องการพื้นฐานทางกาย เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่
  • ความต้องการความอิสระ ควบคู่ไปกับความต้องการพื้นฐานทางกาย
  • ความต้องการผลสัมฤทธิ์ มักจะต้องการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น
  • ความต้องการประสบการณ์ที่ท้าทาย
  • ความต้องการมีเพื่อน เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น
ความสนใจ
         ความสนใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือเจตคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ ความรู้สึกนั้นทาให้บุคคลเอาใจใส่และกระทำการจนบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่บุคคลมีต่อสิ่งนั้น
         สิ่งที่เด็กปฐมวัยสนใจนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเด็กนั่นเอง ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเด็กปฐมวัยยังมีลักษณะของการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ ช่วงเวลาของความสนใจของเด็กปฐมวัย  จะค่อนข้างสั้น โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 2 3 นาที จึงเห็นได้ว่าเด็กในวัยนี้ชอบที่จะเปลี่ยนกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา

กลุ่มที่ 3 การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
      
          การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งเป็นผลมาจากประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือจากการฝึกหัด รวมทั้งการเปลี่ยนปริมาณความรู้ของผู้เรียน   
มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ 
1) มนุษย์ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจาก ไม่รู้เป็น รู้”  “ทำไม่ได้เป็น ทำได้” “ไม่เคยทำเป็น ทำ” 
2) การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนั้นต้องเป็นไปอย่างถาวร 
3) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้น เกิดจากประสบการณ์การฝึกฝนและการฝึกหัด ไม่ใช่จากเหตุอื่นๆนอกจากนั้น
          เด็กปฐมวัย (Early Childhood) เป็นคำที่ใช้เรียกเด็กที่มีอายุตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึง 6 ปี ซึ่งอยู่ในวัยที่คุณภาพของชีวิทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญากำลังเริ่มต้นพัฒนาอย่างเต็มที่
หลักการจัดประสบการณ์การเรียนรู้

การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
1. จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ
2. จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับลักษณะการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้
3. จัดประสบการณ์ในรูปแบบบูรณาการ
4. จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ริเริ่ม คิด วางแผน ตัดสินใจ ลงมือกระทำ และนำเสนอความคิด
5. จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น กับผู้ใหญ่
6. จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ในวิถีชีวิตของเด็ก           
7. จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ชีวิตประจำวันและสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม   
8. จัดสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน ให้มีมุมเล่น หรือมุมประสบการณ์ หรือศูนย์การเรียนต่าง ๆ ให้เด็กได้มีโอกาสเล่นร่วมกับผู้อื่น
                 เด็กจะเกิดการเรียนรู้ในช่วง 0-6 ปีอย่างง่ายโดยไม่รู้ตัว และเรียนรู้ด้วยความเพลิดเพลิน สนุกสนาน การส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด ทั้งนี้จะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้แบบค้นหา และการมีปฏิสัมพันธ์ การใช้สื่อและการปรับบทบาทของครูและเด็ก ตามหลักทฤษฎีของกลุ่มแนวคิดสร้างองค์ความรู้
                การเรียนรู้ หมายถึง การที่เด็กสามารถปรับความคิด เพื่อใช้ในชีวิตจริง การเรียนรู้จึงมิใช่การสะสมความรู้จากแหล่งภายนอกเพียงเท่านั้น ครูจําเป็นต้องให้ความสําคัญกับสิ่งที่เด็กจะต้องนําไปใช้ในชีวิตไปในขณะเดียวกันด้วย
ทฤษฎีการเรียนรู้ 
ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก  อีวาน พาฟลอฟ 
ทฤษฎีการเรียนรู้ 
1. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์เกิดจากการวางเงื่อนไขที่ตอบสนองต่อความต้องการทางธรรมชาติ 
2. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้จากสิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าตามธรรมชาติ 
3. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ที่เกิดจากสิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าตามธรรมชาติจะลดลงเรื่อย ๆ และหยุดลงในที่สุดหากไม่ได้รับการตอบสนองตามธรรมชาติ 
4. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์สิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าตามธรรมชาติจะลดลงและหยุดไปเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามธรรมชาติ และจะกลับปราฏขึ้นได้อีกโดยไม่ต้องใช้สิ่งเร้าตามธรรมชาติ 
5. มนุษย์มีแนวโน้มที่จะจำแนกลักษณะของสิ่งเร้าให้แตกต่างกันและเลือกตอบสนองได้ถูกต้อง

กลุ่มที่ 4 รูปแบบการเรียนรู้นวัตกรรมการสอนโปรเจค (Project Approach)
           
          การสอนแบบโครงการ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับเด็ก ส่งเสริมให้เด็กแสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยที่เด็กหรือครูร่วมกันกำหนดเรื่องที่ต้องการเรียนรู้ แล้วดำเนินการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา โดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและจากแหล่งเรียนรู้

แนวการเรียนการสอนแบบ Project Approach
โรงเรียนแนว Project Approach หรือการเรียนการสอนแบบโครงการ เป็นความคิดริเริ่มของ William Heard Kilpatrick นักการศึกษาอเมริกัน ซึ่งพัฒนามาจากแนวคิดของJohn Dewey มาประยุกต์เป็นรูปแบบการเรียนการสอน
           แนว Project Approach หรือการเรียนการสอนแบบโครงการ เป็นการเรียนเพื่อสนองความต้องการของเด็ก ไม่มีการแข่งขัน แต่เป็นการเรียนแบบร่วมมือ เป็นนวัตกรรมทางการสอนที่บูรณาการการสอนหลายๆอย่างเข้าไว้ด้วยกัน เช่น
- Child Center (การเรียนรู้ในลักษณะที่เด็กเป็นศูนย์กลาง)
- Whole Language(การเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติ)
- High-Scope(การวางแผน ลงมือทำ และสรุปเองโดยเด็ก)
หลักการสำคัญของรูปแบบการสอนแบบโครงการ
1. เด็กศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึก  จนพบคำตอบที่ต้องการ
2. เรื่องที่เด็กศึกษาเป็นเรื่องที่เด็กเป็นผู้เลือกเองตามความสนใจ  เป็นประเด็นที่เด็กตั้งคำถามขึ้นมาเอง
3. จัดกิจกรรมมุ่งให้เด็กได้มีประสบการณ์ตรงกับเรื่องที่เด็กศึกษา  โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้สังเกตอย่างใกล้ชิด จากแหล่งความรู้เบื้องต้น
4. ระยะเวลาแต่ละโครงการยาวนานอย่างเพียงพอตามความสนใจของเด็กเพื่อที่จะให้เด็กค้นพบคำตอบ  และคลี่คลายความสงสัยใคร่รู้
5. จัดกิจกรรมให้เด็กได้ประสบกับทั้งความสำเร็จ  และความล้มเหลวในกระบวนการการแสวงหาความรู้ตามวิธีการของเด็กเอง
6. เมื่อเด็กค้นพบคำตอบ  เปิดโอกาสให้เด็กนำความรู้ใหม่ๆที่ได้นั้นมาเสนอในรูปแบบต่างๆ ตามความต้องการของเด็กเอง  อาจเป็นการเขียน  การวาดภาพระบายสี  การสร้างแบบจำลอง  การเล่นบทบาทสมมติ  การแต่งนิทานหรือรูปแบบอื่นๆ
7. เด็กเสนอความรู้ต่อเพื่อนๆ และคนอื่นๆอันแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของกระบวนการศึกษาของตนเอง  และเกิดความภาคภูมิใจในความสำเร็จนั้น
วิธีจัดการเรียนการสอนมี 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ
  • เด็กๆเลือกว่าจะศึกษาเรื่องอะไร โดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ
  • เด็กๆอภิปรายว่า มีความรู้เดิมอะไร เกี่ยวกับเรื่องที่เลือกแล้วบ้าง ครูช่วยให้เด็กๆบันทึกความคิดของเด็กๆ ด้วยวิธีต่างๆ เช่น วาด ปั้น จำลอง ฯลฯ (เล่าประสบการณ์เดิม)
  • เด็กๆบอกข้อสงสัยที่เด็กๆมีเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กๆจะเรียนรู้ และครูช่วยบันทึกคำถามเหล่านั้น
  • เด็กๆพูดคุยเกี่ยวกับว่าคำตอบที่เด็กๆจะสำรวจสืบค้นได้นั้น น่าจะเป็นอะไร อย่างไร ครูช่วยเด็กๆบันทึกความคาดคะเนของเด็กๆไว้ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลในภายหลัง (คิดกิจกรรม)

ระยะที่ 2 ระยะพัฒนา
         ให้โอกาสเด็กค้นคว้า และมีประสบการณ์ใหม่เป็นงานในภาคสนาม  ประกอบด้วยการสืบค้นตามแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ระยะนี้ถือเป็นหัวใจของโครงการ ครูจะเป็นผู้จัดหา  จัดเตรียมแหล่งข้อมูลให้เด็กสืบค้น  ไม่ว่าจะเป็นจริง หนังสือ  วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆหรือแม้แต่การออกภาคสนามหรือไปศึกษานอกสถานที่  หรือนัดหมายผู้เชี่ยวชาญ วิทยากรท้องถิ่น  เพื่อให้เด็กได้ทำการสืบค้น สังเกตอย่างใกล้ชิด  และบันทึกสิ่งที่พบเห็น เขียนภาพที่เกิดจากการสังเกต จัดทำกราฟ แผนภูมิ ไดอะแกรม  หรือสร้างแบบต่าง ๆ สำรวจ  คาดคะเน  มีการอภิปรายเล่นบทบาทสมมติเพื่อแสดงความเข้าใจในความรู้ใหม่ที่ได้
* ระยะที่2 ---> ระยะ3 มีการเตรียมการนำเสนอ โดยเตรียมเด็ก เตรียมสถานที่
 

ระยะที่ 3 สรุปโครงการ
ประเมิน สะท้อนกลับ  และแลกเปลี่ยนงานโครงการเป็นระยะสรุปเหตุการณ์  รวมถึงการเตรียมเสนอรายงานและผลที่ได้ในรูปของการจัดแสดงการค้นพบ  และจัดทำสิ่งต่าง ๆ สนทนา  เล่นบทบาทสมมติ  หรือจัดนำชมสิ่งที่ได้จากการก่อสร้างครูควรจัดให้เด็กได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเรียนรู้กับผู้อื่น  เด็กสามารถช่วยกันเล่าเรื่องการทำโครงการให้ผู้อื่นฟังโดยจัดแสดงสิ่งที่เป็นจุดเด่นให้เพื่อนในชั้นเรียนอื่น  ครู  พ่อ แม่ ผู้ปกครอง  และผู้บริหารได้เห็น  ครูจะช่วยเด็กเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่จะนำมาแสดง  ซึ่งการทำเช่นนี้เท่ากับช่วยให้เด็กทบทวนและประเมินโครงการทั้งหมด  ครูอาจเสนอให้เด็กใช้จินตนาการ ความรู้ใหม่ที่ได้ผ่านทางศิลปะ ทางละคร ทุกครั้งที่จบโครงการจะต้องมีการไต่ตรองสารนิทัศน์
 
การเรียนการสอนแบบ Project Approach เป็นส่วนส่งเสริมให้เด็กได้มีการพัฒนาทักษะในทุกด้านดังนี้
  1. การคิดอย่างมีเหตุมีผล                                 
  2. การทำงานอย่างเป็นระบบ
  3. การวางแผนการทำงาน                            
  4. ภาษา การสื่อสาร
  5. พัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ              
  6. การคิดแก้ปัญหา
  7. ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ                  
  8. การแสดงความคิดเห็น กล้าพูด กล้าทำ กล้าแสดงออก
  9. มีความคิดรวบยอด                                                
  10. การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
  11. มีความกระตือรือร้นต่อการเรียนรู้ของสิ่งรอบตัว        
  12. มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
  13. มีความสุข สนุกสนานกับการเรียนรู้                   
  14. เห็นคุณค่าในความคิดของตนเอง

วิเคราะห์ความรู้ : การจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กปฐมวัย  สิ่งแรกที่คนเป็นครูต้องรู้ คือ พัฒนาการตามวัยของเด็ก รู้ว่าเด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการอย่างไร และมีความรู้เรื่องความสนใจละความต้องการของเด็ก คือรู้ว่าเด็กทำอะไรได้ มีความสามารถขนาดไหน มีความสนใจและความต้องการอะไร มีวิธีการเรียนรู้อย่างไร และครูอยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเด็กบ้าง เพื่อนำไปสู่การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้

ทักษะ (Skills)
- ทักษะการฟัง
- ทักษะการคิด
- ทักษะการเชื่อมโยง
- ทักษะการนำเสนอ

เทคนิคการสอน (Technique teaching)
- บรรยาย
- ตั้งคำถาม
- ให้นักศึกษามีส่วนร่วม

การนำไปประยุกต์ใช้ (Adoption)
- สามารถนำความรู้ที่ได้รับเพิ่มเติมไปจัดการเรียนการสอนได้

ประเมินผล (Assessment)
ประเมินตนเอง - เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจฟังอาจารย์
ประเมินเพื่อน -  เพื่อนทุกคนตั้งใจเรียน ไม่พูดคุยกันเสียงดัง
ประเมินอาจารย์ - อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม

วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561

Record 1
Monday 15 January 2018

              วันแรกของการเรียนการสอนในเทอมนี้ วิชาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ทางการศึกษาของเด็กปฐมวัย อาจารย์ได้แนะแนวการเรียนการสอน ข้อตกลง และภาระงานคร่าวๆ ให้นักศึกษารับรู้ร่วมกัน และมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ในการออกฝึกสังเกตการสอนที่โรงเรียนต่างๆที่ผ่านมาทั้งหมด 15 วัน
จุดมุ่งหมายของรายวิชา
1. ทักษะด้านคุณธรรมจริยธรรม
    มีวินัย ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบ
2. ทักษะด้านความรู้
    มีความรู้ ความเข้าใจ และจัดประสบการณ์การสอนสำหรับเด็กปฐมวัยได้
3. ทักษะทางปัญญา
    สามารถคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิเคราะห์ปัญหา สรุปปัญหา เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ได้
4. ทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ
    สามารทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ให้ความช่วยเหลือร่วมมือแก้ปัญหาทั้งบทบาทการเป็นผู้นำและผู้ร่วมงาน
5. ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
     มีทักษะการใช้เครื่องมือที่จำเป็นในปัจจุบันเพื่อการศึกษาค้นคว้า เช่น การทำบล็อก
6. ทักษะการจัดการเรียนรู้
    มีความสามารถออกแบบการจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็กปฐมวัย เขียนแผนการจัดประสบการณ์ที่บูรณาการและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญได้

   เพลงที่ใช้ในการสงบเด็ก
เพลงทั่วไป
1. นั่งตัวตรงๆ นั่งตัวตรงๆ ตรงไหมครับ..... ตรงไหมคะ........
2. ตบมือ 1 ครั้ง ตบให้ดังกว่านี้ ตบใหม่อีกที ตบให้ดีกว่าเดิม
3. มือๆๆ ตบตัก ตบมือ ตบมือ ตบไหล่ แล้วสลับๆกัน แล้วสลับๆกันไป ตบตัก ตบไหล่ ตบมือๆ
4. จับหู จับหัว จับไหล่ จับไหล่ จับหู จับหัว จับเอวแล้วก็ส่ายตัวๆ เอามือจับหัว จับหู จับไหล่
5. (ชื่อ) อยู่ไหนๆ อยู่นี่จ้ะๆ สุขสบายดีหรือไรๆ
6. เปิด – ปิด เปิด – ปิด   ทำเสียงน้อยน้อยนิดให้ดังเปาะ แปะ
เปิด – ปิด เปิด – ปิด  ทำเสียงนิด ๆ วางลงบนตัก 
7. นิ้วชี้คนดีอยู่ไหน   ชูให้คุณครู.....ดูหน่อย แล้ววางบนปากน้อย ๆ  คอยฟังคุณครู......ให้ดี
8. ยกมือข้างขวา ยก ยก  ยกมือข้างซ้าย ยก ยกเรามาสนุกเฮฮา (ซ้ำ)  ยกมือข้างขวา
ยกมือข้างซ้าย  ยก ยก (เปลี่ยนมือ เป็น ไหล่ เท้า สะโพก)
9. จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิบ จิบ จิบ จิบ จิ๊บ กระพือปีกซ้าย กระพือขวา กระพือปีกไปมา ลัล ลัล ลัล ลา ลัน ลัน ลัน ลัน ล้า
10. เอามือวางไว้บนตัก ช่างน่ารัก น่ารักจริง ๆ เด็กดี ไม่ดื้อ ไม่ซน พวกเราทุกคน.ไม่ใช่ลูกลิง

เพลงประยุกต์
1. มีแมลงตัวหนึ่งบินมาเกาะจมูกกระต่าย มันจึงปัดๆ แมลงก็บินหนีไป
2. แมงมุมลาย

คำคล้องจอง
1. เส้นหมี่ เส้นหมี่ เส้นหมี่ ซาลาเปา ซาลาเปา ซาลาเปา หมูสับ หมูสับ หมูสับ แล้วก็ข้าวต้มมัด อึบ


ทักษะ (Skill)
- ทักษะการฟัง
- ทักษะการคิด

เทคนิคการสอน (Technique teaching)
- บรรยาย
- ให้นักศึกษามีส่วนร่วม

การนำไปประยุกต์ใช้ (Adoption)
- สามารถนำเป็นแนวทางในการเรียน ได้ทราบภาระงานเบื้องต้นเพื่อไปหาข้อมูลเพิ่มเติม

ประเมินผล (Assessment)
ประเมินตนเอง - เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจฟังอาจารย์
ประเมินเพื่อน -  เพื่อนทุกคนตั้งใจเรียน ไม่พูดคุยกันเสียงดัง
ประเมินอาจารย์ - อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย มีข้อตกลงชัดเจน