Lucky Charms Rainbow Welcome to blogger of Siriporn kaminkaeo

วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Record 6
Tuesday 20 February 2018
เนื้อหาการเรียนการสอน (Knowledge)
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย
        นำเนื้อหาสาระมาจากหลักสูตร เลือกสอนสิงที่อยู่รอบตัวเด็กหรือเป็นเรื่องที่มีผลกระทบกับเด็ก หรือเป็นสิ่งที่เด็กอยากรู้ เป็นต้น

สาระที่ควรเรียนรู้
(1) เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรรู้จักชื่อ นามสกุล รูปร่าง หน้าตาของตน รู้จักอวัยวะต่างๆ และวิธีระวังรักษาร่างกายให้สะอาด ปลอดภัย มีสุขอนามัยที่ดี เรียนรู้ที่จะเล่นและ ทำสิ่งต่างๆด้วยตนเองคนเดียวหรือกับผู้อื่น ตลอดจนเรียนรู้ที่จะแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และแสดงมารยาทที่ดีทั้งนี้ เมื่อเด็กมีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตนเองแล้ว เด็กควรจะเกิดแนวคิดดังนี้
  • ฉันมีชื่อตั้งแต่เกิด   ฉันมีเสียง  รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนใคร  ฉันภูมิใจที่เป็น ตัวฉันเองเป็นคนไทยที่ดี มีมารยาท มีวินัย รู้จักแบ่งปัน ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง  เช่น  แต่งตัว  แปรงฟัน รับประทานอาหาร  ฯลฯ  ฉันมีอวัยวะต่าง  เช่น ตา หู จมูก ปาก  ขา  มือ  ผม นิ้วมือ  นิ้วเท้า ฯลฯ และ ฉันรู้จักวิธีรักษาร่างกายให้สะอาด  ปลอดภัย  มีสุขภาพดี
  • ฉันต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ออกกำลังกาย และพักผ่อน เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต
  • ฉันเรียนรู้ข้อตกลงต่าง ๆ รู้จักระมัดระวังรักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นเมื่อทำงาน   เล่นคนเดียว  และเล่นกับผู้อื่น
  • ฉันอาจรู้สึกดีใจ  เสียใจ  โกรธ  เหนื่อย  หรืออื่น ๆ   แต่ฉันเรียนรู้ที่จะแสดงความรู้สึกในทางที่ดี และเมื่อฉันแสดงความคิดเห็น หรือทำสิ่งต่าง ๆด้วยความคิดของตนเอง  แสดงว่าฉันมีความคิดสร้างสรรค์  ความคิดของฉันเป็นสิ่งสำคัญ แต่คนอื่นก็มีความคิดที่ดีเหมือนฉันเช่นกัน
(2)   เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก   เด็กควรได้มีโอกาสรู้จักและรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน รวมทั้งบุคคลต่างๆที่เด็กต้องเกี่ยวข้อง หรือมีโอกาสใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ เมื่อเด็กมีโอกาสเรียนรู้แล้วเด็กควรเกิดแนวคิด ดังนี้
  • ทุกคนในครอบครัวของฉันเป็นบุคคลสำคัญ ต้องการที่อยู่อาศัย  อาหาร  เสื้อผ้า  และยารักษาโรค  รวมทั้งต้องการความรัก  ความเอื้ออาทร  ช่วยดูแลซึ่งกันและกัน  ช่วยกันทำงานและปฏิบัติตามข้อตกลงภายในครอบครัว  ฉันต้องเคารพ เชื่อฟังพ่อแม่และผู้ใหญ่ในครอบครัว  ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามกาลเทศะ  ครอบครัวของฉันมีวันสำคัญต่าง ๆ  เช่น  วันเกิดของบุคคลในครอบครัว  วันทำบุญบ้าน ฯลฯ  ฉันภูมิใจในครอบครัวของฉัน 
  • สถานศึกษาของฉันมีชื่อเป็นสถานที่ที่เด็กๆมาทำกิจกรรมร่วมกันและทำให้ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย สถานศึกษาของฉันมีคนอยู่ร่วมกันหลายคน ทุกคนมีหน้าที่  รับผิดชอบ ปฏิบัติตามกฏระเบียบ   ช่วยกันรักษาความสะอาดและทรัพย์สมบัติของสถานศึกษา  ส่วนครูรักฉันและเอาใจใส่ดูแลเด็กทุกคน  เวลาทำกิจกรรมฉันและเพื่อนจะช่วยกันคิด  ช่วยกันทำ  รับฟังความคิดเห็น  และรับรู้ความรู้สึกซึ่งกันและกัน
  • ท้องถิ่นของฉันมีสถานที่ บุคคล แหล่งวิทยากร แหล่งเรียนรู้ต่างๆที่สำคัญ  คนในท้องถิ่นที่ฉันอาศัยอยู่มีอาชีพที่หลากหลาย  เช่น ครูแพทย์  ทหาร  ตำรวจ   ชาวนา  ชาวสวน  พ่อค้า  แม่ค้า  ฯลฯ   ท้องถิ่นของฉันมีวันสำคัญของตนเอง  ซึ่งจะมีการปฏิบัติกิจกรรมที่แตกต่างกันไป
  • ฉันเป็นคนไทย มีวันสำคัญของชาติ   ศาสนา และ พระมหากษัตริย์  มี วัฒนธรรม   ขนบธรรมเนียมประเพณีหลายอย่าง  ฉันและเพื่อนนับถือศาสนา หรือมีความเชื่อที่เหมือนกันหรือแตกต่างกันได้  ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ฉันภูมิใจที่ฉันเป็นคนไทย
(3)  ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรจะได้รู้จักสิ่งมีชีวิตที่เป็นต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์ รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของโลกที่แวดล้อมเด็กตามธรรมชาติ เช่น ฤดูกาล  กลางวัน  กลางคืน  ฯลฯ  แนวคิดที่ควรให้เกิดหลังจากเด็กเรียนรู้ธรรมชาติรอบตัว  มีดังนี้
  • ธรรมชาติรอบตัวฉันมีทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชีวิตต้องการอากาศ แสงแดด น้ำและอาหารเพื่อเจริญเติบโต  สิ่งมีชีวิตสามารถปรับตัวให้เข้ากับลักษณะอากาศ ฤดูกาล และยังต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน   สำหรับสิ่งไม่มีชีวิต  เช่น  น้ำ  หิน  ดิน  ทราย ฯลฯ   มีรูปร่าง สี ประโยชน์  และโทษต่างกัน
  • ลักษณะอากาศรอบตัวแต่ละวันอาจเหมือนหรือแตกต่างกันได้  บางครั้งฉันทายลักษณะอากาศได้จากสิ่งต่างๆ รอบตัว  เช่น  เมฆ  ท้องฟ้า  ลม  ฯลฯในเวลากลางวันเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนดวงอาทิตย์ตก  คนส่วนใหญ่จะตื่นและทำงาน ส่วนฉันไปโรงเรียนหรือเล่น เวลากลางคืนเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ตกจนดวงอาทิตย์ขึ้น ฉันและคนส่วนใหญ่จะนอนพักผ่อนตอนกลางคืน
  • สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติรอบตัวฉัน เช่น ต้นไม้ สัตว์ น้ำ ดิน  หิน ทราย อากาศ  ฯลฯ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตต้องได้รับการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นรอบๆตัวฉัน  เช่น  บ้านอยู่อาศัย  ถนนหนทาง  สวนสาธารณะ  สถานที่ต่าง ๆ ฯลฯ  เป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน  ทุกคนรวมทั้งฉันช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและรักษาสาธารณสมบัติโดย ไม่ทำลายและบำรุงรักษาให้ดีขึ้นได้
 (4)  สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรจะได้รู้จักสิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะและการสื่อสารต่างๆ ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันของเด็ก ทั้งนี้เมื่อเด็กมีโอกาสเรียนรู้แล้วเด็กควรเกิดแนวคิด ดังนี้
  • สิ่งต่างๆรอบตัวฉันส่วนใหญ่มีสี ยกเว้นกระจกใส พลาสติกใส น้ำบริสุทธิ์  อากาศบริสุทธิ์  ฉันเห็นสีต่างๆด้วยตา  แสงสว่างช่วยให้ฉันมองเห็นสี  สีมีอยู่ทุกหนทุกแห่งที่ฉันสามารถเห็น ตามดอกไม้  เสื้อผ้า  อาหาร  รถยนต์  และอื่น ๆ  สีที่ฉันเห็นมีชื่อเรียกต่างๆกัน  เช่น แดง  เหลือง น้ำเงิน  ฯลฯ   สีแต่ละสีทำให้เกิดความรู้สึกต่างกัน  สีบางสีสามารถใช้เป็นสัญญาณ  หรือสัญลักษณ์สื่อสารกันได้
  • สิ่งต่าง ๆ  รอบตัวฉันมีชื่อ  ลักษณะต่าง ๆ  กัน  สามารถแบ่งตามประเภท  ชนิด  ขนาด  สี  รูปร่าง  พื้นผิว  วัสดุ  รูปเรขาคณิต  ฯลฯ
  • การนับสิ่งต่าง ๆ ทำให้ฉันรู้จำนวนสิ่งของ  และจำนวนนับนั้นเพิ่มหรือลดได้  ฉันเปรียบเทียบสิ่งของต่างๆ ตามขนาด  จำนวน  น้ำหนัก  และจัดเรียงลำดับสิ่งของต่าง ๆ ตามขนาด  ตำแหน่ง  ลักษณะที่ตั้งได้
  • คนเราใช้ตัวเลขในชีวิตประจำวัน  เช่น   เงิน  โทรศัพท์  บ้านเลขที่ ฯลฯ ฉันรวบรวมข้อมูลง่าย ๆ  นำมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจได้โดยนำเสนอด้วยรูปภาพ  แผนภูมิ   แผนผัง  แผนที่  ฯลฯ
  • สิ่งที่ช่วยฉันในการชั่ง ตวง วัด  มีหลายอย่าง  เช่น  เครื่องชั่ง  ไม้บรรทัด  สายวัด  ถ้วยตวง  ช้อนตวง  เชือก  วัสดุ  สิ่งของอื่น ๆ  บางอย่างฉันอาจใช้การคาดคะเนหรือกะประมาณ
  • เครื่องมือเครื่องใช้มีหลายชนิดและหลายประเภท  เช่น  เครื่องใช้ในการทำสวน การก่อสร้าง เครื่องใช้ภายในบ้าน  ฯลฯ  คนเราใช้เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน  แต่ขณะเดียวกันต้องระมัดระวังในเวลาใช้เพราะอาจเกิดอันตรายและเกิดความเสียหายได้ถ้าใช้ผิดวิธีหรือใช้ผิดประเภท  เมื่อใช้แล้วควรทำความสะอาด และเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
  • ฉันเดินทางจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งได้ด้วยการเดินหรือใช้ยานพาหนะ  พาหนะบางอย่างที่ฉันเห็นเคลื่อนที่ได้โดยการใช้เครื่องยนต์ ลม ไฟฟ้า หรือคนเป็นผู้ทำให้เคลื่อนที่  คนเราเดินทางหรือขนส่งได้ทั้งทางบก  ทางน้ำ  ทางอากาศ   พาหนะที่ใช้เดินทาง  เช่น  รถยนต์   รถเมล์  รถไฟ   เครื่องบิน  เรือ  ฯลฯ  ผู้ขับขี่จะต้องได้รับใบอนุญาตขับขี่และทำตามกฎจราจรเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และฉันต้องเดินบนทางเท้า ข้ามถนนตรงทางม้าลาย  สะพานลอย  หรือตรงที่มีสัญญาณไฟ  เพื่อความปลอดภัยและต้องระมัดระวังเวลาข้าม
  • ฉันติดต่อสื่อสารกับบุคคลต่างๆได้หลายวิธี  เช่น โดยการไปมาหาสู่   โทรศัพท์  โทรเลข  จดหมาย  จดหมายอิเลคทรอนิคส์   ฯลฯ  และฉันทราบข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆ รอบตัวด้วยการสนทนา  ฟังวิทยุ  ดูโทรทัศน์  และอ่านหนังสือ  หนังสือเป็นสื่อในการ ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกไปยังผู้อ่าน ถ้าฉันชอบอ่านหนังสือ ฉันก็จะมีความรู้ ความคิดมากขึ้น   ฉันใช้ภาษาทั้งฟัง  พูด  อ่าน  เขียน  เพื่อการสื่อความหมายในชีวิตประจำวัน
กิจกรรมการเรียนรู้
       ทำ Mind mapping แสดงสาระที่เด็กควรรู้ในหน่วยนั้นๆ โดยบูรณาทั้ง 6 สาระการเรียนรู้

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน 8 ทักษะ 
ทักษะที่ 1 การสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสของร่างกายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กายสัมผัส เข้าสัมผัสกับวัตถุหรือเหตุการณ์เพื่อให้ทราบ และรับรู้ข้อมูล รายละเอียดของสิ่งเหล่านั้น โดยปราศจากความคิดเห็นส่วนตน ข้อมูลเหล่านี้จะประกอบด้วย ข้อมูลเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ และรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการสังเกต
ทักษะที่ 2 การวัด (Measuring) หมายถึง การใช้เครื่องมือสำหรับการวัดข้อมูลในเชิงปริมาณของสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลเป็นตัวเลขในหน่วยการวัดที่ถูกต้อง แม่นยำได้ ทั้งนี้ การใช้เครื่องมือจำเป็นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด รวมถึงเข้าใจวิธีการวัด และแสดงขั้นตอนการวัดได้อย่างถูกต้อง
ทักษะ ที่ 3 การคำนวณ (Using numbers) หมายถึง การนับจำนวนของวัตถุ และการนำตัวเลขที่ได้จากนับ และตัวเลขจากการวัดมาคำนวณด้วยสูตรคณิตศาสตร์ เช่น การบวก การลบ การคูณ การหาร เป็นต้น โดยการเกิดทักษะการคำนวณจะแสดงออกจากการนับที่ถูกต้อง ส่วนการคำนวณจะแสดงออกจากการเลือกสูตรคณิตศาสตร์ การแสดงวิธีคำนวณ และการคำนวณที่ถูกต้อง แม่นยำ
ทักษะที่ 4 การจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การเรียงลำดับ และการแบ่งกลุ่มวัตถุหรือรายละเอียดข้อมูลด้วยเกณฑ์ความแตกต่างหรือความสัมพันธ์ใดๆอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทักษะที่ 5 การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา (Using space/Time relationships) ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสของวัตถุกับเวลา ได้แก่ ความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของวัตถุกับช่วงเวลา หรือความสัมพันธ์ของสเปสของวัตถุที่เปลี่ยนไปกับช่วงเวลา
ทักษะที่ 6 การจัดกระทำ และสื่อความหมายข้อมูล (Communication) หมายถึง การนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต และการวัด มาจัดกระทำให้มีความหมาย โดยการหาความถี่ การเรียงลำดับ การจัดกลุ่ม การคำนวณค่า เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น ผ่านการเสนอในรูปแบบของตาราง แผนภูมิ วงจร เขียนหรือบรรยาย เป็นต้น
ทักษะที่ 7 การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มความคิดเห็นของตนต่อข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างมีเหตุผลจากพื้นฐานความรู้หรือประสบการณ์ที่มีความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คือ สามารถอธิบายหรือสรุปจากประเด็นของการเพิ่มความคิดเห็นของตนต่อข้อมูลที่ได้มา
ทักษะที่ 8 การพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การทำนายหรือการคาดคะเนคำตอบ โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหรือการทำซ้ำ ผ่านกระบวนการแปรความหายของข้อมูลจากสัมพันธ์ภายใต้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์

ศิลปะ กิจกรรมหลัก ได้แก่ การวาด การปั้น
           กิจกรรมพิเศษ ได้แก่ การฉีกปะ ประดิษฐ์ ร้อย สาน
สุขศึกษาและพลศึกษา ได้แก่ การดูแลตนเอง และการเคลื่อนไหว
สังคมศึกษา ได้แก่ คุณธรรม 12 ประการ

กิจกรรมหลัก 6 กิจกรรมของเด็กปฐมวัยมีดังนี้

1. กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ 
    เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ ซึ่งจังหวะและดนตรีที่ใช้ประกอบได้แก่ เสียงตบมือ เสียงเพลง เสียงเคาะไม้ เคาะเหล็ก รำมะนา กลอง ฯลฯ
2. กิจกรรมสร้างสรรค์
    เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับงานศิลปศึกษาต่าง ๆ ได้แก่ การวาดภาพระบายสี การปั้น การพิมพ์ภาพ การพับ ตัด ฉีก ปะ และประดิษฐุ์เศษวัสดุ ที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิดสร้างสรรค์ การรับรู้เกี่ยวกับความงามและส่งเสริมกระตุ้นให้เด็กแต่ละคนได้แสดงออกตามความรู้สึกและความสามารถของตนเอง
3. กิจกรรมเสรี 
    เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เล่นกับสื่อและเครื่องเล่นอย่างอิสระในมุมการเล่นกิจกรรมการเล่นแต่ละประเภทสนองตอบความต้องการตามธรรมชาติของเด็ก
4. กิจกรรมเสริมประสบการณ์ 
    เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้ฟัง พูด สังเกต คิด และปฏิบัติการทดลอง ให้เกิดความคิดรวบยอดและเพิ่มพูนทักษะต่าง ๆ ด้วยวิธีการหลากหลาย เช่น การสนทนา ซักถามหรืออภิปราย สังเกต ทัศนศึกษา และปฏิบัติการทดลองตามกระบวนการเรียนรู้
5. กิจกรรมกลางแจ้ง 
    เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้ออกนอกห้องเรียนไปสู่สนามเด็กเล่นทั้งที่บริเวณกลางแจ้งและในร่มเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกอย่างอิสระ โดยยึดเอาความสนใจ และความสามารถของเด็กแต่ละคนเป็นหลัก
6. กิจกรรมเกมการศึกษา 
    เป็นกิจกรรมการเล่นที่มีกระบวนการในการเล่นตามชนิดของเกมประเภทต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียน



หน่วย ใต้ร่มเงาไม้

หน่วยผลไม้เพื่อสุขภาพ

หน่วย ประสาทสัมผัสทั้ง 5

หน่วย บ้านแสนรัก

หน่วย ตัวฉัน
ทักษะ (Skills)
- ทักษะการฟัง
- ทักษะการคิด
- ทักษะการสืบค้นข้อมูล
- ทักษะการเชื่อมโยง
- ทักษะการประยุกต์
- ทักษะการสรุปข้อมูล
- ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น

เทคนิคการสอน (Technique teaching)
- บรรยาย
- ทบทวนความรู้เดิม
- ตั้งคำถาม
- ให้นักศึกษาทำกิจกรรม

การนำไปประยุกต์ใช้ (Adoption)
- มีข้อมูลเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้ ทั้ง 6 สาระ เพื่อนำไปบูรณาการจัดกิจกรรมแผนการสอนหน่วยต่างๆได้โดยอิงกับหลักสูตร และสามารถกระจายข้อมูลออกเป็นผังแสดงความสัมพันธืเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจและนำไปใช้ประกอบการเขียนแผนจัดกิจกรรมต่อไป

ประเมินผล (Assessment)
ประเมินตนเอง - เข้าเรียนตรงเวลา สามารถตอบคำถามได้ ร่วมแสดงความคิดเห็นภายในกลุ่ม
ประเมินเพื่อน -  เพื่อนทุกคนตั้งใจเรียน ให้ความร่วมมือในการทำงาน ช่วยกันแสดงความคิดเห็น
ประเมินอาจารย์ - อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย ยิ้มแย้มแจ่มใส มีการพูดคุยก่อนเข้าสู่บทเรียนกระตุ้นนักศึกษาด้วยคำถาม มีการทบทวนความรู้และมีความยืดหยุ่นในการทำงาน

วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Record 5
Monday 12 February 2018

เนื้อหาการเรียนการสอน (Knowledge)
เทคนิคการสอนแบบ story line
          Story line เป็นการนำสาระการเรียนรู้จากหลากหลายเรื่องมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เพื่อนจัดการเรื่องรู้ภายใต้หัวเรื่องเดียวกัน โดยผูกเรื่องเป็นตอนๆ เรื่องแต่ละตอนจะต่อเนื่องกันและมีลำดับเหตุการณ์และเส้นทางการเดินเรื่อง และใช้คำถามหลักเป็นการนำไปสู่การทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย โดยการลงมือปฎิบัติ เน้นการคิด วิเคราะห์ กระบวนการกลุ่ม



องค์ประกอบและลักษณะกิจกรรม
แนวทางการจัดกิจกรรม
  • ศึกษาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ วิธีการจัด    กิจกรรมแบบ storyline
  • ศึกษาตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ที่มีลักษณะหัวเรื่องโดยใช้เทคนิค storyline เลือกแผนที่มีความเหมาะสมกับชั้นเรียน เพื่อทดลองสอน
  • เลือกแผนการจัดการเยนรู้ที่มีความยาวสลับซับซ้อนมากขึ้นมาทดลองอีก 2-3 แผนเพื่อให้ชำนาญ
  • ทดลองเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามหัวข้อเรื่องที่สนใจผูกโยงเนื้อหาสาระการเรียนรู้ที่หลากหลาย เข้าด้วยกัน
  • สร้างคำถามหลักเพื่อนำไปสู่การจัดการเรียนรู้แบบstoryline
  • กำหนดระยะเวลาสอนในแต่ละหัวข้อ อาจกำหนดต่อเนื่องกัน 2-3ชั่วโมงในทุกวันศุกร์ช่วงบ่าย หรือสอนวันเว้นวัน หรือสัปดาห์สุดท้าย ก่อนปิดภาคเรียน
  • นำแผนไปทดลองสอน
  • บันทึกหลังสอน ปรับแผน กิจกรรม ระยะเวลา
  • เนื้อหาสาระการเรียนรู้
  • เตรียมสื่อแหล่งการเรียนรู้ แหล่งวิทยาการ วิทยากร สถานที่
  • ประเมินผลงานของนักเรียน
ข้อดี
  • ผู้เรียนพัฒนาตนเอง สติปัญญา ความคิด การวิเคราะห์ สร้างสรรค์ แกไขปัญหา ตัดสินใจ สร้างความรู้ แสวงหาความรู้ การสื่อสาร การทำงานร่วมกัน
  • การสื่อสาร
  • การคิดและลงมือปฏิบัติ ค้นพบ สืบสวน สร้างจินตนาการ แก้ปัญหา ตัดสินใจ รับผิดชอบ
  • Active Learning กระตือรืนร้น นำไปใช้จริง ลงมือศึกษา คิด ปฏิบัติ ท้าทายความสามารถ
  • ยอมรับคุณค่าของตนเองและผู้อื่น
ข้อจำกัด
  • หัวเรื่องที่สร้างขึ้นต้องเพียงพอที่จะสัมพันธ์เรื่องอื่นได้อย่างกว้างขวาง
  • ไม่ควรสอนหลายๆหัวเรื่องไปพร้อมกัน
  • ความร่วมมือ
  • กิจกรรมต้องมีความหมายกับผู้เรียน
  • แผนการจัดการเรียนรู้แบบ storyline
  • จุดประสงค์การเรียนรู้
  • ลำดับการดำเนินเรื่อง
  • ลำดับความสำคัญ
  • กิจกรรม
  • การจัดชั้นเรียน
  • สื่อการเรียนรู้ การสอน และแหล่งเรียนรู้
  • ผลงาน
อ้างอิง
สุคนร์ สินธพานนท์และคณะ.(2554) วิธีสอนตามแนวปฏิรูปการศึกษา                       
         เพื่อพัฒนาคุณภาพของเยาวชน. ห้างหุ้นส่วนจำกัด 9119   
         เทคนิคพริ้นติ้ง.
ฆนัท ธาตุทอง.(2551) การออกแบบการสอนและบูรณาการ.เพชรเกษม การพิมพ์.
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ : การสอนแบบสตอรี่ไลน์เป็นการสอนที่มีเรื่องราว ผูกเรื่องมาจากสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง เกิดจากสิ่งกระตุ้น มัลักษณะแบบแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง เช่น เรื่องตลาด เด็กอาจจะได้รับข้อมูลมาจากการโปรโมทตลาดเปิดใหม่ เป็นต้น

การสอนแบบวอลดอร์ฟ
          ผู้ริเริ่มแนวการสอนที่รู้จักชื่อแพร่หลายแบบวอลดอร์ฟ (Waldort)คือ รูดอร์ฟ สไตเนอร์(Rudolf Steiner) วิธีการสอนของสไตเนอร์หรือวอลดอร์ฟ นั้นจัดเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นกิจกรรมการเล่น คือ ดนตรี จังหวะบทเพลงนิทาน เพราะกิจกรรมเหล่านี้ช่วยส่งเสริมความคิดจินตนาการของเด็ก และช่วยพัฒนาการการเคลื่อนไหวของร่างกาย
          โรงเรียนแนวการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟเป็นแนวการศึกษาที่บูรณาการวิชาการไปกับกิจกรรรมต่างๆ โดยมีครูคอยดูแลและอำนวยความสะดวกเน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนการสอนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติทั้งในกลางแจ้งและในห้องเรียน โดยเชื่อว่าช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี เพื่อพัฒนาให้เด็กเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพที่สมดุลกลมกลืนไปกับโลกและสิ่งแวดล้อมและได้ใช้พลังงานทุกด้านอย่างพอเหมาะ
 

วอลดอร์ฟ จะพัฒนาเด็กได้อย่างไร
1. เด็กเรียนรู้จากการเลียนแบบ 0-7 ปี
2. เน้นการเล่นของเด็ก3-7 ปี 
3. มีการจัดอุปกรณ์เครื่องเขียน
4. การเรียนรู้ของเด็กทั้งในบ้านและในชั้นเรียนไม่ควรมีของเล่นมากเกินไป
5. พ่อแม่สามารถทำของเล่นง่ายๆให้ลูกได้
6. ของเล่นในห้องเรียนสามารถเป็นของใช้ภายในบ้าน
7. พ่อแม่ไม่ควรให้ลูกดูทีวีมากเกินไป
8. ทุกเช้าก่อนเข้าเรียนจะมี “morning verse”
9. การสอนแบบวอลดอร์ฟไม่เน้นการสอนทางวิชาการ
10. วอลดอร์ฟให้ความสำคัญกับการจัดสิ่งแวดล้อมที่สวยงามเป็นธรรมชาติ
จุดเด่นของโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
  • เป้าหมาย คือ ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระ
  • เน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล โดยมีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก โดยผ่านกิจกรรม 3 อย่างคือ กิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ความรู้สึก และผ่านการคิด เน้นการให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะ
  • จะสอนตามพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะวัย 0-7 ปีเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางกายมาก จึงเน้นไปที่การเล่นเพื่อพัฒนาอวัยวะส่วน
  • สิ่งที่การเรียนแนววอลดอร์ฟเน้นมากคือ "จินตนาการของเด็กคือการเรียนรู้" วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้จะต้องเป็นธรรมชาติ เช่น ถ้าวาดรูป สีที่ใช้ก็จะมีแค่สีปฐมภูมิ คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง เท่านั้น แนวคิดนี้จะทำให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยน มองเห็นว่าโลก สิ่งแวดล้อม และสรรพสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันต้องช่วยกันรักษา ซึ่งส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์เป็น

กิจกรรมที่มุ่งเน้นในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
           ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมักจะเน้นไปที่การเรียนรู้แบบธรรมชาติ ไม่มีห้องเรียน ไม่มีกระดานดำแต่จะมีมุมต่างๆให้เด็กได้เรียนรู้ได้เป็นอิสระที่จะคิดและสร้างสรรค์หรือหากเด็กๆ ต้องการเล่นตุ๊กตา เล่นรถ ในห้องก็จะมีข้าวของที่ทำจากธรรมชาติให้ประดิษฐ์ดัดแปลงเล่นกัน เช่น ผ้าหลากสี ท่อนไม้ เปลือกไม้ ลูกสน เป็นต้น ทุกอย่างจะถูกกำหนดให้เป็นได้สารพัดตามแต่ใจเด็กๆ
สภาพแวดล้อมในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
            รูดอร์ฟ สไตเนอร์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน ผู้ริเริ่มแนวการเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนจะซึมซับสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้ได้ง่าย ดังนั้นการจัดบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ มีการเน้นความงดงามตามธรรมชาติ เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล แสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จัดจ้า ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น นกร้อง ใบไม้ไหว น้ำไหลริน หรือเสียงดนตรีที่ไพเราะ จะสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน และสดชื่นให้เกิดขึ้นในจิตใจเด็กเด็กจะมีพลังตื่นตัวและมีสมาธิในการเรียนรู้ได้ไม่ยาก
สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนโรงเรียนวอลดอร์ฟ
             การเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อมให้เด็กได้พัฒนาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กันไปเด็กจะพัฒนาถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้โดยการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเป็นไปอย่างสมดุลโดยการเรียนรู้ทางกาย(การลงมือทำ) หัวใจ(ความรู้สึก ความประทับใจ) และสมอง(ความคิด)

อ้างอิง
    ศาตราจารย์ ดร.อารี  สัณหฉวี หนังสือ นวัตกรรมปฐมวัย
             ปีที่พิมพ์ 2537 การสอนแบบวอลดอร์ฟจะพัฒนาเด็กได้อย่างไร
    แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ เรียบเรียงข้อมูลจาก : พ็อกเก็ตบุ๊กส์ เลือกอนุบาล เพื่อ               สร้างอนาคตลูก จาก สำนักพิมพ์รักลูกบุ๊กส์
ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ : การสอนแบบวอลดอร์ฟเป็นการเรียนการสอนที่อิงธรรมชาติ ความเป็นจริงของชีวิตความสมดุลทั้งภายในและภายนอก จัดสภาพแวดล้อมให้เป็นเสมือนบ้าน


ภาษาธรรมชาติ (Whole language)
ที่มาของการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
       การสอนภาษาแบบธรรมชาติ  เกิดจากหลักการ และแนวคิด ของนักศึกษา นักวิจัยทางภาษาที่มีชื่อเสียง คือ Jean piaget ผู้เชื่อว่าการที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆรอบตัวจะเป็นการคิดสร้างความรู้ขึ้นภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่การรับเข้าไปเฉยๆ การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลทางสังคม และเชื่อว่าการสอนภาษาเป็นความสำคัญที่เด็กจะต้องใช้เพื่อการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเด็กและภาษามีความหมายต่อชีวิต การเรียนภาษาจึงต้องมาจากสิ่งที่เป็นจริงและเกี่ยวข้องกับเด็ก โดยเรียนภาษาแบบองค์รวมคือ เรียน ฟัง พูด อ่าน เขียนไปพร้อมกัน
จอห์น เพียเจต์
Jean piaget
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ
      การสอนภาษาแบบธรรมชาติคือ การที่เด็กได้เรียนรู้ การใช้ภาษาทั้งด้านการ ฟัง พูด อ่าน เขียน เป็นไปตามธรรมชาติอย่างมีความหมายสอดคล้องเหมาะสมกับวัย  โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน เขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง เช่นการอ่านนิทาน เล่าเรื่องราว ฟังเรื่องเล่าจากเพื่อน ฟังนิทานจากครู เป็นต้น
ลักษณะการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
      เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้และร่วมมือจัดการเรียนการสอนระหว่างเด็กกับครู ตั้งแต่วางแผนการเรียนว่า จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไร และใครรับผิดชอบส่วนไหนบ้าง คำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็ก เพราะเด็กจะต้องอยู่ในสังคม ห้องเรียนจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมให้กับเด็ก
สถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนแบบภาษาในระดับปฐมวัย
  • โรงเรียนเกษมพิทยาได้ค้นพบว่า ปัจจุบันเด็กประถมวัยมีปัญหาการเรียนภาษา มีทัศนคติที่ไม่ดี เชื่อว่าเรียนภาษายาก เพราะการสอนเด็กด้วยระบบเก่าเน้นทักษะและเน้นไวยากรณ์ โดยการแจกลูกผสมคำ แต่เด็กกลับอ่านหนังสือไม่ออกในระดับประถมศึกษา ถึงแม้จะฝึกหนัก
  • การแก้ปัญหาดังกล่าวคือ การเลือกใช้วิธีการสอนที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย เพราะการพัฒนาการทางสมองจะมีการทำงานแบบองค์รวม
แหล่งที่มา
กุลยา ตันติผลาชีวะ (2545). รูปแบบการเรียนการสอนปฐมวัยศึกษา. กรุงเทพมหานคร: บริษัทเอดิสัน เพรสโปรดักส์ จำกัด.
บุบผา เรืองรอง (2550). ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย . นครศรีธรรมราช: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช.

วรนาท รักสกุลไทย (2554). นวัตกรรมการสอนภาษาแบบธรรมชาติ. กรุงเทพมหานคร: Thai Teacher TV . (2554 ) . นวัตกรรมการสอนภาษาแบบธรรมชาติ . กรุงเทพมหานคร: โรงเรียนเกษมพิทยา.

             กิจกรรมแบ่งกลุ่ม 5 คน ออกแบบกิจกรรมตามหน่วยที่ได้รับ เตรียมหาข้อมูลเพิ่มเพิมและนำมาออกแบบเขียนแผนกิจกรรมในแต่ละวัน
ทักษะ (Skills)
- ทักษะการฟัง
- ทักษะการนำเสนอ
- ทักษะการคิด
- ทักษะการเชื่อมโยง
- ทักษะการสรุปข้อมูล

เทคนิคการสอน (Technique teaching)
- บรรยาย
- ตั้งคำถาม
- ให้นักศึกษาทำกิจกรรม

การนำไปประยุกต์ใช้ (Adoption)
- สามารถนำความรู้ที่ได้รับเพิ่มเติมไปจัดการเรียนการสอนโดยสามารถปรับรูปแบบการสอน วิธีการสอนอย่างหลากหลายให้เหมาะสมกับกิจกรรม โดยอาจจะใช้วิธีการบูรณาการ

ประเมินผล (Assessment)
ประเมินตนเอง - เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจฟังอาจารย์ สามารถตอบคำถามได้
ประเมินเพื่อน -  เพื่อนทุกคนตั้งใจเรียน ให้ความร่วมมือในการทำงาน ช่วยกันแสดงความคิดเห็น
ประเมินอาจารย์ - อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย กระตุ้นนักศึกษาด้วยคำถาม มีการทบทวนความรู้และมีคำแนะนำเพิ่มเติมอยู่เสมอ

วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Record 4
Monday 5 February 2018
เนื้อหาการเรียนการสอน (Knowledge)
รูปแบบการเรียนรู้แบบมอนเตสซอรี่
ที่มาของการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ 
                การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่เกิดจากแนวคิดของมาเรีย มอนเตสซอรี่ (Maria Montessori) แพทย์หญิงชาวอิตาลีที่มีความเชื่อว่า การให้การศึกษากับเด็กในวัยเริ่มต้น ไม่ใช่การนำความรู้ไปบอกเด็ก แต่ควรเป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการทางธรรม ชาติของเขามอนเตสซอรี่เริ่มต้นนำแนวการสอนนี้ไปใช้กับเด็กที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาล่าช้า โดยประดิษฐ์สื่อวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นหัวใจสำคัญในการเปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นพบสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง
จุดมุ่งหมายของการสอนแบบมอนเตสซอรี่
                คือ ช่วยพัฒนา หรือให้เด็กมีอิสระในด้านบุคลิกภาพของเด็กในวิถีทางต่างๆ อย่างมากมายสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนระบบมอนเตสซอรี่ คือ การจัดระบบเพื่อสะท้อนถึงศักยภาพที่แท้จริง และความต้องการของเด็ก เพื่อเด็กจะได้พัฒนาบุคลิกภาพของเขา
การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่  
                การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่เป็นการจัดสภาพการเรียนรู้สำหรับเด็ก โดยมีครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เหมือนบ้าน และเป็นผู้ให้การสนับสนุน ให้เสรีภาพแก่เด็ก ให้คำปรึกษาและกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ให้ใช้จิตใจซึมซับสิ่งแวดล้อมเพราะมอนเตสซอรี่เชื่อว่า เด็กคือ ผู้รู้ความต้องการของตนเองและมีความสามารถที่จะซึมซับการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมได้
หลักสูตรของมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กวัย 3-6 ขวบ ครอบคลุมการศึกษา 3 ด้าน
      1.ด้านทักษะกลไก (Motor Education) หรือกลุ่มประสบการณ์ชีวิต มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการดูแลและจัดการสิ่งแวดล้อมเด็กจะทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเบื้องต้นของชีวิตประจำวัน เช่น มารยาทในการรับประทานอาหารเป็นต้น
      2.ด้านประสาทสัมผัส (Education of the Senses) มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการสังเกต การใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเกี่ยวกับมิติรูปทรง ปริมาตรของแข็ง ของทึบ อุณหภูมิ เด็กจะได้รู้จักทรงกระบอก ลูกบาศก์ ปริซึม แขนงไม้ ชุดรูปทรงเรขาคณิต
      3.ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation For Writing and Arithmetic) หรือกลุ่มวิชาการ
มีจุดประสงค์เพื่อเตรียมเด็กเข้าสู่ระดับประถมศึกษา เตรียมตัวด้านการอ่านการเขียนโดยธรรมชาติ
การประสมคำ คณิตศาสตร์
ลักษณะการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่    
                การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่มีลักษณะส่งเสริมการเรียนด้วยตนเองของเด็ก เน้นการช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด โดยสภาพของโรงเรียนจัดสิ่งแวดล้อมให้เสมือนบ้าน มีห้องต่างๆ ที่บ้านควรมี เช่น ห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่นมีห้องโถงใหญ่ที่จัดมุมการเรียนรู้ไว้ตอบสนองความต้องการของเด็ก ได้แก่     มุมฝึกประสาทสัมผัส มุมภาษา มุมคณิตศาสตร์ มุมดนตรี มุมศิลปะ มุมที่จะสอนสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และมุมภูมิศาสตร์ เป็นต้น ห้องนี้เปรียบเสมือนห้องทำงานของเด็ก จะมุ่งเน้นทางด้านสติปัญญา
หลักการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ มีดังนี้
-   จัดห้องเรียนให้เสมือนบ้าน
-   ให้เสรีภาพกับเด็กที่จะเลือกเล่นด้วยตนเอง
-   จัดสภาพการณ์ต่างๆที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง
-   พัฒนาจิตใจของเด็กไปพร้อมกับการพัฒนาการทางด้านสติปัญญาและร่างกาย
-   การเรียนไปพร้อมกับการเล่น
-   ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสของเด็กทุกด้าน
-   การรักเด็กและนับถือความสามารถที่เป็นธรรมชาติของเด็ก
การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่จะส่งเสริมเด็กให้เกิดคุณลักษณะ ดังนี้
-   เด็กสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ดีเพราะหลักสูตรมอนเตสซอรี่ออกแบบโดยการเลียนแบบชีวิตจริง
-   เด็กเรียนด้วยความสุข เพราะเป็นจัดการเล่นปนเรียน สอดคล้องกับธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็ก
-   เด็กได้เข้าสังคมกับเพื่อน ให้เด็กที่มีความแตกต่างกันเรียนรู้ที่อยู่ร่วมกัน ให้ความช่วยเหลือกัน เพราะการเรียนแบบจัดกลุ่มเด็กหลายอายุ รวมกลุ่มกัน
-   การเรียนที่มุ่งให้เด็กทำกิจกรรมจนสำเร็จด้วยตนเอง ไม่มีการแข่งขันเปรียบเทียบ เด็กจะรู้สึกท้าทายตนเอง ไม่เครียด ไม่เบื่อหน่ายการเรียน
รูปแบบการเรียนการสอนแบบไฮสโคป ( HighScope  Approach )
การสอนแบบไฮสโคป
       การสอนเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้พัฒนาคน  การเรียนรู้และการสอนทำให้มี
การคิดเชื่อมโยงความรู้ได้อย่างรวดเร็ว  การศึกษาปฐมวัยจึงเป็นการศึกษาที่จัดให้แก่เด็ก  6
ขวบแรกเป็นการจัดการศึกษาเพื่อการดูแล และสร้างเสริมเด็กให้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ 
       การสอนเด็กปฐมวัยไม่ใช่การถ่ายทอดความรู้  แต่เป็นการจัดประสบการณ์อย่างมีรูปแบบเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ  พัฒนาสมรรถนะทางปัญญา  และพัฒนาจิตนิยมที่ดี  การเรียนการสอนสำหรับปฐมวัย มีหลากหลายรูปแบบแต่สำหรับรูปแบบที่ผู้เขียนจะนำเสนอนั้นก็เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มีความน่าสนใจอีกรูปแบบหนึ่ง  รูปแบบการเรียนการสอนที่ว่านั้นก็คือ  รูปแบบการเรียนการสอนแบบไฮสโคป
ความเป็นมา
       การเรียนการสอนแบบไฮสโคป  เป็นแนวคิดการจัดการศึกษาที่พัฒนามาจากโครงการ  เพอรี่ พรีสคูล (Perry Preschool Project) เมืองยิปซีแลนติ (Ypsilanti) รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1960 โดย เดวิด ไวคาร์ด (David Weikart) และคณะ เป็นโปรแกรมการศึกษาที่มีหลักสูตรและการสอนเน้นการเรียนรู้โดยใช้หลักการสร้างความรู้ (constructive process) จากการกระทำ ที่ต้องมีการร่วมกันคิดร่วมกันทำตามแผนที่กำหนด ซึ่งต่อมาได้มีผู้นำรูปแบบการศึกษาของไฮสโคปไปใช้อย่างแพร่หลาย รวมถึงการนำมาใช้กับการเรียนการสอนระดับปฐมวัยศึกษาด้วย
แนวคิดพื้นฐาน
       การสอนแบบไฮสโคป มีพื้นฐานแนวคิดมาจากทฤษฎีของเพียเจท์ (Piage’s Theory)ว่าด้วยพัฒนาการทางสติปัญญา ที่เน้นการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติที่เด็กสามารถสร้างความรู้ได้เองโดยใช้กระบวนการสร้างสรรค์การเรียนรู้ (Constructive process of learning) เด็กจะเรียนรู้จากการกระทำของตน การประเมินผลงานอย่างมีแบบแผน ช่วยให้เด็กเกิดความรู้ขึ้น 
       เด็กจะได้รับการกระตุ้นจากครูให้คิดนำอุปกรณ์มากระทำหรือเล่นด้วยการวางแผนการทำงาน แล้วดำเนินตามแผนไว้ตามลำดับพร้อมแก้ปัญหาและทบทวนงานที่ทำด้วยการทำงานร่วมกันกับเพื่อนเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยมีครูคอยให้กำลังใจ  ถามคำถาม  สนับสนุน และเพิ่มเติมสิ่งที่เด็กต้องเรียนรู้
แนวคิดสำคัญ
       แนวการสอนแบบไฮสโคป เน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย  ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับการพัฒนาการของเด็กและการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น
การเรียนการสอน
       การเรียนการสอนแบบไฮสโคป เป็นการสร้างองค์ความรู้จากการที่เด็กได้ลงมือจัดกระทำกับอุปกรณ์ หรือสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นประสบการณ์ตรง  โดยที่ครูจะเป็นคนเตรียมอุปกรณ์ให้กับเด็กและกระตุ้นให้เด็กพัฒนาและดำเนินกิจกรรม โดยใช้หลักปฏิบัติ 3  ประการ  คือ
Plan = เป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติหรือดำเนินงานตามที่ได้รับมอบหมาย  มีการสนทนาระหว่างครูกับเด็ก  ว่าจะทำอะไร อย่างไร  การวางแผนกิจกรรมอาจจะใช้แสดงด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็ก   เป็นกระบวนการที่เด็กมีโอกาสเลือก และตัดสินใจ
Do =   คือการลงมือกระทำตามแผนที่วางไว้  เป็นส่วนที่เด็กได้ร่วมกันคิด แก้ปัญหา  ตัดสินใจและทำด้วยตนเอง  เป็นส่วนที่เด็กได้มีการพัฒนาการพูดและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง
Review = เป็นช่วงที่ได้งานตามจุดประสงค์  ช่วงนี้จะมีการอภิปรายและเล่าถึงผลงานที่เด็กทำเพื่อทบทวนว่า เด็กสามารถปฏิบัติตามแผนที่วางไว้หรือไม่  มีการเปลี่ยนแปลงแผนอย่างไร  และชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างแผนกับการปฏิบัติ  และผลงานที่ทำ รวมถึงการเล่าประสบการณ์ต่างๆที่ได้รับ
        การเรียนการสอนแบบไฮสโคป  สามารถนำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ได้ทุกกิจกรรม เพราะกระบวนการและวิธีการสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กเปิดกว้างมีการคิดการปฏิบัติ ตามวงจรของการวางแผน  การปฏิบัติ และการทบทวน ( plan-do-review cycle ) เมื่อทำกิจกรรมแล้วเด็กสามารถที่คิดกิจกรรมอื่นต่อเนื่องได้ตามความสนใจ  จุดสำคัญอยู่ที่ประสบการณ์การเรียนรู้ ( Key  experience ) ที่เด็กควรได้รับระหว่างกิจกรรม  ซึ่งครูต้องมีปฏิสัมพันธ์และกระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากกิจกรรมให้มากที่สุด 
       ครู คือบุคคลที่จะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ  หากรูปแบบการเรียนการสอนที่มีความสอดคล้องภาวะการเรียนรู้ของเด็กและครูมีความเข้าใจในรูปแบบการเรียนการสอน ก็จะเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ที่ดีให้กับเด็กมากยิ่งขึ้น    

ข้อเสนอแนะของอาจารย์ : แนวคิดสำคัญ แนวการสอนแบบไฮสโคปเน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย